ผอ. สพม.31 โคราชยันโรงเรียนดูแล นร.ถูกครูโยนแก้วโดนปากเบี้ยวตั้งแต่แรก ไม่เคยทอดทิ้ง แต่เหตุที่เวลาผ่านมาเป็นเดือนเพราะยังรักษาตัว และจราจรตกลงเรื่อง คชจ. ไม่ได้ ย้ำผู้บริหารโรงเรียนมาตลอดในการทำงานของครูให้ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง เผยผลสอบสรุปพรุ่งนี้ เปิดผลการเจรจาตกลงค่าเสียหาย 300,000 บาทไม่สำเร็จชนวนเหตุให้เกิดเป็นข่าวใหญ่
วันนี้ (15 ก.ย.) นายชูเกียรติ วิเศษเสนา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต.31 (สพม.31) นครราชสีมา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสืบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีนายไพฑูรย์ แกลงกระโทก อายุ 58 ปี ครูชำนาญการพิเศษ กลุ่มวิชาสุขศึกษาและพละศึกษา โรงเรียนโชคชัยสามัคคี อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ขว้างแก้วเมลามีนแบบหนาใส่กระจกหน้าพักครูกระเด็นไปโดน น.ส.นฤดี จอดสันเทียะ หรือน้องทราย อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/10 ขณะนั่งเรียนวิชาเซปักตระกร้อ เป็นเหตุให้ น.ส.นฤดี ได้รับบาดเจ็บสาหัสว่า
ขณะนี้คณะกรรมการที่ สพม.31 (นครราชสีมา) แต่งตั้งไปกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนหาข้อเท็จจริงคาดว่าพรุ่งนี้ (16 ก.ย.) จะสรุปรายละเอียดทั้งหมดส่งเข้ามา เพราะไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อนแต่อย่างใด เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ทางโรงเรียนเองโดย ว่าที่ ร.ต.นิพนธ์ ภักดีแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนโชคชัยสามัคคี ไม่เคยทอดทิ้งเด็ก ดูแลเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้น โดยได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นไปแล้ว การดำเนินการใช้ทั้งหลักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และการปกครองเข้าไปด้วย ขณะเดียวกันทาง สพม.31 (นครราชสีมา) ได้ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปช่วยเหลือในการดูแลเยียวยาจิตใจของเด็ก ซึ่งการรักษาดีขึ้นตามลำดับ แต่ต้องใช้เวลา 3-6 เดือนตามที่แพทย์ รพ.มหาราชนครราชสีมา ระบุไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งตรงกับความเห็นของแพทย์ รพ.ยันฮี ที่เด็กไปรักษาตัวครั้งล่าสุดด้วย
นายชูเกียรติ กล่าวอีกว่า กรณีการขว้างแก้วใส่เด็กนั้น จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วโมงการเรียนการสอนวิชาเซปักตะกร้อ โดยเด็กในห้องเรียนระบุตรงกันว่าครูโยนแก้วใส่ผนังโดยโยนไปโดนกระจกหน้าต่างของห้องพักครูและกระเด็นโดนบริเวณใบหน้าเด็ก ไม่ใช่การโยนหรือขว้างใส่โดยตรง เพราะหากขว้างโดยตรงคงมีแผลแตกเลือดออก ซึ่งการกระทำดังกล่าวเกิดจากโทสะชั่ววูบที่เห็นเด็กไม่อยู่ในระเบียบ และต้องการปรามเท่านั้น แต่นายไพฑูรย์ก็ยอมรับผิดต่อที่ตัวเองทำขึ้น และยืนยันว่าไม่มีเจตนาโยนให้โดนเด็กเพียงแต่ต้องการปรามจริง ๆ
นอกจากนี้ภายหลังเกิดเหตุ ทางนายไพฑูรย์ ก็รับผิดชอบดูแลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล และทางโรงเรียนโดย ผอ.ได้เดินทางไปเยี่ยมอาการป่วยของเด็กตลอด พร้อมจัดรถรับส่งอำนวยความสะดวกให้มาอย่างต่อเนื่องไม่เคยปัดความรับผิดชอบ หรือนิ่งนอนใจเลย
นายชูเกียรติ กล่าว่า ทาง สพม.31 (นครราชสีมา) ได้กำชับผู้บริหารโรงเรียนมาโดยตลอดเรื่องการทำงานของครูให้ดูแลเด็ก เอาเด็กเป็นศูนย์กลางและไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งภาพรวมที่ผ่านมา ไม่เคยมีเหตุการณ์ใหญ่โต หรือการทำร้ายร่างกายรุนแรงแก่เด็กเกิดขึ้นแต่อย่างใด และเชื่อว่าโดยจิตสำนึกของครูน่าจะมีจิตวิญญาณในการดูแลอบรมเด็กอยู่แล้ว เพราะทุกคนล้วนอยากให้ลูกศิษย์ตัวเองได้ดี เป็นคนดี ซึ่งการเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่แพงจนเกิดไป จนกลายมาเป็นปัญหาที่ตกลงกันไม่ได้ อาจจะมากเป็นสำหรับอาชีพครู เพราะรายได้ครูก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก และแพทย์ก็ไมได้ระบุว่าจะต้องใช้เงินรักษาสูงถึง 3 แสนบาทด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเรื่องคดีความทางตำรวจได้เรียกทั้ง 2 ฝ่ายไปเจรจาตกลงค่าเสียหายและค่าทำขวัญกัน 3 ครั้งที่ สภ.โชคชัย ซึ่งเป็นปมหลักในการก่อปัญหาจนกลายเป็นข่าวดังระดับประเทศในเวลานี้ โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2559 ฝ่ายผู้ปกครองเด็กได้เรียกร้องค่าทำขวัญจำนวน 3 แสนบาท พร้อมให้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นทั้งหมดจนกว่าเด็กจะหายเป็นปกติ โดยเด็กมีความประสงค์จะรักษาตัวที่ รพ.เซนต์แมรี่และ รพ.มหาราชนครราชสีมา และไม่ประสงค์ให้ทางโรงเรียนรับส่งในการเดินทางไปรักษา แต่จะเดินทางไปเองโดยขอค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่ละครั้งตามความเป็นจริง ซึ่งทางนายไพฑูรย์ขอรับไปพิจารณาและนัดเจรจาครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 ก.ย. 2559
สำหรับการเจราจาครั้งนี้ ทางนายไพฑูรย์ และทางโรงเรียนรับว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้กับเด็กจนกว่าจะหายเป็นปกติ แต่ค่าทำขวัญที่ฝ่ายผู้ปกครองเด็กเรียกร้องนั้น ยังตกลงกันไม่ได้ จะนำไปหารือกันก่อน จึงมีการนัดเจราครั้งที่ 3 คือวันที่ 12 ก.ย. 2559
ซึ่งครั้งนี้นายไพฑูรย์ ไม่ได้เดินทางไปเจรจาด้วยตัวเองเหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา แต่ได้ส่งภรรยามาแทน โดยการเจรจาครั้งนี้ฝ่ายนายไพฑูรย์ และทางโรงเรียน ได้เสนอว่า จะจ่ายเป็นเงิน 80,000 บาทรวมค่าใช้จ่ายและรักษาพยาบาลที่ผ่านมาจำนวน 40,099 บาท รวมเป็นเงิน 120,099 บาท ไม่รวมและไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นในอนาคต และเสนอเพิ่มจ่ายเป็นเงิน 100,000 บาทรวมค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลดังกล่าว รวมเป็นเงิน 140,099 บาท ไม่รวมและไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นในอนาคต ทางฝ่ายผู้ปกครองเด็ก ไม่รับข้อเสนอดังกล่าว แต่เสนอให้ทางฝ่ายนายไพฑูรย์และทางโรงเรียนจ่ายค่าทำขวัญและค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 100,000 บาท ไม่รวมเงินที่จ่ายไปแล้ว และให้ออกค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจนกว่าเด็กจะหายเป็นปกติ ซึ่งคู่กรณีตกลงกันไม่ได้ ทางฝ่ายผู้ปกครองจึงนำเด็กเข้าร้องเรียนมูลนิธิปวีณา และเป็นข่าวตามสื่อขึ้นมา