ชาวโคราชรับ"นายกตู่"คึก ตรวจเข้ม อาวุธก่อนเข้างาน ด้านกรมชลชี้หลังรับงบปรับปรุงลำพระเพลิงทำให้แก้แล้งแก้ท่วมได้ยั่งยืนเพิ่มพท.ชลประทานได้กว่า1.8หมื่นไร่
วันนี้(25พ.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการรอต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางมาตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ำที่จังหวัดนครราชสีมาเวลาประมาณ 14.00 น. ของวันนี้โดยได้เดินทางมาที่เขื่อนลำพระเพลิงต.ตะขบ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
ล่าสุดจนถึงขณะนี้ประชาชนและหัวหน้าส่วนราชการต่างๆได้เดินทางเข้าประจำพื้นที่เพื่อรอต้อนรับนายกรัฐมนตรีซึ่งทุกคนต้องผ่านเครื่องตรวจสแกนอาวุธของชุดรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกันกับสื่อมวลชนแขนงต่างๆต้องตรวจกล้องและอุปกรณ์ทุกชิ้น ส่วนศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดนครราชสีมาได้มีการตั้งจุดบริการสำหรับประชาชนที่จะเข้าร้องเรียนความเดือดร้อนต่างๆไว้ที่วัดบ้านบุหัวช้างห่างจากจุดที่นายกรัฐมนตรีมาตรวจราชการประมาณ 3 กม.
สำหรับการเดินทางลงพื้นที่ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีครั้งนี้เพื่อติดตามผลการดำเนินงานการปรับปรุงเขื่อนลำพระเพลิงจึงได้มีการจัดสรรเงินงบประมาณกว่า 476 ล้านบาทในการปรับปรุงอาคารระบายน้ำหรือสปิลเวล์การก่อสร้างคลองผันน้ำซึ่งส่งผลให้เพิ่มพื้นที่ชลประทานได้อีก 18,000 ไร่ รวมทั้งป้องกันน้ำท่วมในเขตอำเภอปักธงชัยโชคชัยและเขตเศรษฐกิจเมืองนครราชสีมามีน้ำต้นทุนในการผลิตประปา 720,000 ลบ.ม. ต่อเดือนเป็นเพียงลุ่มน้ำเดียวของจังหวัดนครราชสีมาที่ไม่ประสบปัญหาภัยแล้งและสามารถ ปล่อยน้ำให้เกษตรกรได้ทำนาปรังในฤดูการผลิตนี้ด้วย
ด้านนายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้เพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำ ให้ กับ เขื่อน ลำพระเพลิงโดยการยกระดับสันอาคารระบายน้ำล้นให้สูงขึ้นจนสามารถเพิ่มความจุจากเดิม 105 ล้าน ลบ.ม. เป็น 155 ล้านลบ.ม. พร้อมปรับปรุงคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้ายของ โครงการลําพระเพลิงเพื่อเพิ่มความจุจาก 12 ลบ.ม. ต่อวินาทีเป็น 22 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สำหรับทำการผันน้ำจากเขื่อนลำพระเพลิงไปอ่างเก็บน้ำลำสำลายและขุดลอกอ่างเก็บน้ำลำสำลายเพื่อเพิ่มความจุจากเดิม 40 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 42.20 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จทั้งโครงการสามารถรองรับการใช้งานในฤดูฝน นี้ ได้แล้ว
สำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำและผันน้ำเขื่อนลำพระเพลิงและอ่างเก็บน้ำลำสำลายเป็นแนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเกษตรกรในพื้นที่การเกษตรเดิม 75,000 ไร่มีรายได้กว่า 176 ล้านบาทต่อปีมีพื้นที่การเกษตรเกิดใหม่อีกกว่า 18,000 ไร่มีรายได้เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาทต่อปี และยังบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ เศรษฐกิจของอำเภอปักธงชัยและอำเภอโชคชัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าเป็นแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในหลายพื้นที่และอำเภอเมืองนครราชสีมาด้วย
ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำลำเชียงไกรซึ่งเป็นอีกลุ่มน้ำหนึ่งที่สำคัญของจังหวัดนครราชสีมาที่มักจะประสบกับปัญหาภัยแล้งและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทุกปี กรมชลประทานได้วางแผนงานโครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำเชียงไกรโดยการเพิ่มความจุ อ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนบนจากเดิม 4.50 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็น 9 ล้านลูกบาศก์เมตรและขุดลอกลำน้ำพร้อมกับสร้างอาคารบังคับน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนบนไปยังอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่างซึ่งดำเนินการเสร็จแล้วในปี 2558
นอกจากนี้ ยังได้มีแผนปรับปรุงความจุอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่างจากเดิม 27.70 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็น 37.70 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมกับการ พัฒนากุดลอบลำเชียงไกรตลอดความยาว 122 กิโลเมตร จนไปบรรจบกับแม่น้ำมูลระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี 2560 - 2562 หากดำเนินการแล้วเสร็จจะส่งผลดีต่อพื้นที่เกษตรในเขตชลประทานกว่า 25,000 ไร่ อีกทั้งเมื่อมีปริมาณน้ำเหลือยังจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นการสร้างความมั่นคงการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในเขตอำเภอด่านขุนทด อำเภอโนนไทยและอำเภอโนนสูงอีกด้วย