“ซัมมิท แคปปิตอล” ขยายธุรกิจสู่ภาคอีสาน ประเดิมโคราชหวังเป็นผู้นำสินเชื่อเช่าซื้อ จยย.

ซัมมิท แคปปิตอล ผู้นำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ในเครือซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น บริษัทเทรดดิ้งยักษ์ใหญ่ระดับโลก เดินหน้าสยายปีกธุรกิจรุกพื้นที่ภาคอีสานเปิดตัวศูนย์บริการแห่งแรกในจังหวัดนครราชสีมา ขานรับแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจใน 5 ปี

นายวิชิต พยุหนาวีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด เปิดเผยว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือถือเป็นภูมิภาคที่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูง ด้วยจำนวนประชากรที่มีมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และมีความนิยมในการใช้รถจักรยานยนต์มาก พิจารณาจากยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 3,000 – 4,000 คัน จึงเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น หลังจากที่ในปีที่ผ่านมา บริษัทปิดยอดการปล่อยสินเชื่อตลอดทั้งปี 2557 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้รวม 3.3 พันล้านบาท โดยมีผลกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 85 % อันเป็นผลมาจากการเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ พร้อมเดินหน้าขยายเครือข่ายศูนย์บริการให้ได้เป็น 50 แห่งครอบคลุม 71 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นจังหวัดชายแดน) ตามเป้าหมายเชิงรุกที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจอันดับหนึ่ง หากมียอดปล่อยสินเชื่อเดือนละ 10,000 คัน หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่อเดือนละประมาณ 500 ล้านบาท ภายในปี 2562

นายวิชิต กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ซัมมิท แคปปิตอลมีสาขาให้บริการเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล  และภาคตะวันออก ซึ่งมองว่ายังมีความต้องการซื้อรถจักรยานยนต์อยู่สูง  ภายใต้งบลงทุนสาขาละ 3-4 ล้านบาท โดยได้เลือกนครราชสีมาเป็นแห่งแรกในภาคอีสาน เนื่องจากเป็นจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ซึ่งมั่นใจว่าบุคลากรมืออาชีพของซัมมิท แคปปิตอลและเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัยจะช่วยเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้แก่ลูกค้าและร้านค้าพันธมิตรในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี นายวิชิตยังกล่าวอีกว่าภาคอีสานมีส่วนแบ่งการตลาด โดยรวมแล้วสูงกว่า 26 เปอร์เซ็นต์ของยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ทั้งประเทศ ดังนั้นถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญ

สำหรับแนวโน้มธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ปีนี้มองว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน หลังจากที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนจากภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้ประชาชนกลับมามีรายได้ และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มเห็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้คาดว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลงจาก 2.00% เหลือ 1.75% ยังจะช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี