20 April 2024


แสงปลายอุโมงค์! โคราชเร่งหาทางช่วยเหลือคนเฒ่าถูกเรียกคืนเบี้ยยังชีพ ผู้ว่าฯสั่งร่อนจม.ถามความชัดเจน

Post on: Feb 2, 2021
เปิดอ่าน: 453 ครั้ง

 

ผู้ว่าฯโคราชเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเร่งหาแนวทางช่วยเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 610 ราย ร่อนหนังสือถามเจ้ากระทรวง เพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน

วันนี้( 1 กุมภาพันธุ์ 2564 ) ความคืบหน้าจากกรณีที่มีครอบครัวของผู้สูงอายุหลายรายในพื้นที่ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ร้องเรียนว่า ครอบครัวถูกหนังสือขอเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุย้อนหลังเป็นเงินจำนวนหลายหมื่นบาท เฉลี่ยรายละ 70,000-100,000 บาท บางรายไม่สามารถหาเงินมาชำระคืนได้ จนถูกทางเทศบาลตำบลจอหอส่งเรื่องฟ้องศาลแขวงนครราชสีมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมมีการเข้าร้องเรียนต่อสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา โดยสภาทนายความฯยินดีให้ความช่วยเหลือด้านคดีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยทางจังหวัดนครราชสีมา นำโดยนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา จะพิจารณาร่วมกับอัยการจังหวัดฯ พัฒนาสังคมฯ คลังจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัดเพื่อให้ความช่วยเหลือตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น.ที่ห้องประชุมสำนักงานคลังจังหวัด ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา  นายวิเชียร  จันทรโณทัย  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยนางสาวศศินันท์ สันนิธิดาวัณย์ อัยการจังหวัดนครราชสีมา มีการประชุมร่วมกับท้องถิ่นจังหวัด จังหวัด  ยุติธรรมจังหวัด  คลังจังหวัด หารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้สูงอายุทั้ง จ.นครราชสีมา ที่มีจำนวน 610 ราย ที่ถูกเรียกเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืน ในจำนวนนี้มีรายของนางชูศรี พูนชัย อายุ 83 ปี ผู้ป่วยติดเตียง อยู่บ้านเลขที่ 228 หมู่ที่ 4 ต.บัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ฯ ที่ได้รับความสนใจมาก เนื่องจากเป็นผู้ป่วยติดเตียงมีโรคประจำตัวหลายโรค ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยทางอำเภอบัวใหญ่ฯให้การช่วยเหลือเบื้องต้นไปแล้ว

โดยนายวิเชียร  จันทรโณทัย  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  เปิดเผยว่า จากการสำรวจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา  พบจำนวนผู้สูงอายุที่แจ้งในระบบสารสนเทศที่ได้รับสวัสดิการจากภาครัฐซ้ำซ้อนกับเบี้ยผู้สูงอายุ  จำนวน 610 ราย   โดยมีจำนวนเงินที่รับเกินสิทธิ์จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  จำนวน  26,952,154,.86 บาท    สถานการณ์เรียกคืนเงินเบี้ยผู้สูงอายุจากผู้ไม่มีสิทธิ์  ดำเนินการแล้ว  จำนวน  195  ราย  เป็นเงิน  7,802,898.86  บาท  อยู่ระหว่างการดำเนินการ  285  ราย  เป็นเงิน  15,026,896  บาท  ยังไม่ดำเนินการ  89  ราย  เป็นเงิน  3.792,300  บาท  ไม่เบิกจ่าย  41  ราย  รวม  610  ราย  สำหรับแนวทางการให้ความช่วยเหลือ จะต้องแบ่งออกเป็นกลุ่ม  ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ตามระเบียบ  ซึ่งต้องมาดูรายละเอียดว่าสาเหตุที่ไม่สามารถนำเงินมาคืนได้มาจากสาเหตุใด เช่น เป็นผู้สูงอายุ  อยู่ตัวคนเดียว ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  จะต้องหาวิธีช่วยเหลือ เช่นการผ่อนชำระหรือไม่  ซึ่งจะต้องหารือกับหน่วยงานด้านกฎหมายและศึกษาถึงกฎระเบียบให้ชัดเจน  หากมีการศึกษาข้อกฎหมายแล้วมีแนวทางที่สามารถช่วยเหลือผู้สูงอายุทั้งหมดได้ ทางจังหวัดก็จะให้คำแนะนำและช่วยเหลือทันที  ผู้สูงอายุทั้งหมดถือว่าน่าสงสารและรับเงินไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งการหารือทั้งหมด จะเสนอแนวทางการช่วยเหลือไปทางกระทรวงมหาดไทย  อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ทางจังหวัดหาข้อมูลและเสนอแนวทางที่พอจะเป็นไปได้ไปให้ทางกระทรวงมหาดไทยพิจารณา ทั้งนี้ผู้สูงอายุควรรอฟังข่าวดีทางภาครัฐไม่นิ่งนอนใจและจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกฝ่าย

นายวิเชียรฯ กล่าวว่า ในส่วนรายนางชูศรี พูนชัย อายุ 83 ปี ผู้ป่วยติดเตียง อยู่บ้านเลขที่ 228 หมู่ที่ 4 ต.บัวใหญ่ การให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นมีการมอบรถวิลแชร์ 1 คัน เครื่องอุปโภค บริโภค 1 ชุด ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ (แพมเพิส) 2 ชุด และผ้าห่มนวม 1 ผืน รวมทั้งศูนย์สุขภาพชุมชนมีการประสานโรงพยาบาลบัวใหญ่ เพื่อสนับสนุนเตียงนอน และประสานทีมติดตามเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงโดยให้ออกไปตรวจเยี่ยมนางพูนศรีฯ ทุกสัปดาห์ และประสานโรงพยาบาลบัวใหญ่อำนวยความสะดวกในการจัดรถรับส่งเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลบัวใหญ่ นายวิเชียรฯกล่าว.

ด้านนางสาววันเพ็ญ  อำพาส  คลังจังหวัดนครราชสีมา  กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2564 นางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้ชี้แจงที่ถึงกรณีมีคนชรารับเงินเบี้ยยังชีพคนชราและเงินบำนาญซ้ำซ้อนกันกว่า 15,000 คนทั่วประเทศ  โดยจังหวัดนครราชสีมา มีจำนวน 610 คน ว่า กรมบัญชีกลาง ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความซ้ำซ้อน โดยเรื่องดังกล่าวมาจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ส่งข้อมูลเลขบัตรประชาชน 13 หลักมาให้กรมบัญชีกลาง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลระบบจ่ายเงินกลางให้รัฐบาล ช่วยตรวจสอบว่าข้อมูลบุคคลเหล่านั้นมีการรับเงินบำนาญ หรือบำนาญพิเศษหรือไม่ ซึ่งเมื่อกรมตรวจเสร็จก็ได้ส่งกลับไปให้กรมส่งเสริมการปกครองฯ ตามจำนวนใกล้เคียงกับที่เป็นข่าว

ส่วนจะมีการรับเบี้ยคนชราซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญ หรือบำนาญพิเศษ หรือไม่นั้น เป็นขั้นตอนที่กรมส่งเสริมการปกครองฯ จะนำข้อมูลที่ได้รับจากกรมบัญชีกลาง ไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลการจ่ายเบี้ยคนชราเองว่า มีการซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ซ้ำซ้อนตั้งแต่เมื่อไร และมีจำนวนเงินซ้ำซ้อนกี่บาท ที่สำคัญการขอเรียกเบี้ยคนชราคืน เป็นอำนาจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ไม่ใช่อำนาจของกรมบัญชีกลาง เพราะกรมบัญชีกลางทำหน้าที่ตัวกลางในการสั่งจ่ายเงิน ตามรายชื่อและงบประมาณที่กรมส่งเสริมการปกครองฯ แจ้งมาให้เท่านั้น

นางสาววันเพ็ญ อำพาส คลังจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต่อว่า ขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมกรณีการตรวจสอบข้อมูลการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยกรมบัญชีกลางจัดทำระบบ e-Social Welfare ซึ่งในระบบจะมีถังตรวจสอบข้อมูล โดย อปท.จะทำการตรวจสอบเลขบัตรประชาชนของผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุว่าซ้ำซ้อนกับผู้รับบำนาญหรือไม่ กรณีถ้าพบว่าข้อมูลซ้ำซ้อน อปท.จะหยุดการจ่าย และสำหรับการเรียกคืนเงินนั้นเป็นหน้าที่ของ อปท.ที่จ่ายเงินไปเพราะผู้สูงอายุรายดังกล่าวไม่มีสิทธิ์ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามระเบียบฯ