เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (23 มีนาคม 2561) ที่ สภ.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วยพล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา , พ.ต.อ.บุญเลิศ ว่องวัจนะ รอง ผบก.ภ.นครราชสีมา หัวหน้าพนักงานสอบสวน , พ.ต.อ.สมร ทองกลาง ผกก.สอบสวน ตร.ภ.นครราชสีมา และ ผกก.สภ.อุดมทรัพย์ , ผกก.สภ.วังน้ำเขียว , ตำรวจทางหลวง , นายจรูญ จงไกรจักร นักวิชาการชำนาญการพิเศษขนส่ง จ.นครราชสีมา และทางแขวงการทางนครราชสีมา ที่ 3 , หน่วยงานกองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมพนักงานสอบสวนได้มีการประชุมสรุปเหตุการณ์และข้อเท็จจริงในคดีรถบัสท่องเที่ยวเกิดอุบัติเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากตามข่าว โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง นายตำรวจทีาติดตามได้รับคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปร่วมสังเกตการณ์แต่อย่างใด ขอเป็นความลับ ซึ่งต่อมาทนแรงกดดันไม่ได้จึงอนุญาตให้เข้าบันทึกภาพได้เท่านั้น
พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เราได้ข้อเท็จจริงบางส่วนแล้วและการเตรียมมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีก ซึ่งก็ได้ทราบถึงสาเหตุและเห็นข้อเท็จจริงกันแล้ว ส่วนคนขับรถขณะนี้รักษาตัวอยู่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ซึ่งผลการตรวจฉี่ของนายกฤษณะ ฑาชื่น คนขับรถบัสยืนยันแล้วว่า เป็นคนขับรถคันดังกล่าว ซึ่งมีสารยาเสพติด(ยาบ้า)อยู่ในปัสสาวะ และจากการตรวจสอบประวัติย้อนหลังพบว่าคนขับเคยถูกจับกุมคดีเสพยาบ้าหรือครอบครองยาบ้ามาแล้วถึง 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2545 ล่าสุดเดือนตุลาคม 2556 เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหา 3 ข้อหา คือ 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่หยุดให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และ 2.เสพยาเสพติดขณะขับรถ โดยเขาให้การว่าเสพยาบ้าก่อนขับรถเพื่อไม่ให้ง่วง โดยคำให้การระบุว่า เสพมา 2 เม็ด 3. ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
ขณะที่ผลการตรวจสอบสภาพตัวรถทางเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดนครราชสีมาตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่า สภาพเบรกไม่ได้แตกหรือมีน้ำมันรั่วไหล จึงเป็นไปได้ว่าคนขับไม่ชำนาญเส้นทาง และขับรถเร็วเกินกว่าป้ายเตือนห้ามวิ่งเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะจากการตรวจเช็คจีพีเอสพบว่าก่อนเกิดอุบัติเหตุรถคันดังกล่าววิ่งด้วยความเร็ว 83 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประกอบกับเส้นทางที่เกิดเหตุเป็นทางลงเขาลากยาว 6 กิโลเมตร จึงทำให้คนขับเหยียบเบรกต่อเนื่องจนลมในปั้มเบรกหมด ทำให้รถเบรกไม่อยู่ทำให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นมา โดยเราได้ตัวคนขับมาเพียงคนเดียว ส่วนผู้ช่วยคนขับยังไม่พบตัว
“จากการสอบสวนทุกอย่างทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาไปเรื่องการเสพยาเสพติด(ยาบ้า)ในขณะขับรถ และ ขับรถประมาททำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสแล้วยังหลบหนีไม่มาช่วย และฝ่าฝืนเครื่องจำกัดความเร็วของกรมทางหลวง ซึ่งระบุไว้ว่า 60 กม/ชม. โดยรถคันนี้มี GPS ทางขนส่งตรวจสอบเบื้องต้นใช้ความเร็วประมาณ 83 กม./ชม. ส่วนสาเหตุของระบบรถขัดข้องหรือประมาทนั้นจากการพูดคุยกับหน่วยงานทุกส่วนแวยังไม่มั่นใจเรื่องสภาพเป็นรอยเบรกหรือรอยครูด แต่ตรวจสอบแล้วสภาพเบรกไม่มีรอยรั่วจากน้ำมันก็แสดงว่าเบรกไม่แตก แน่นอนอาจจะเกิดจากรถทางลงเขาชันเมื่อใช้ลมเบรกมากเกินไปลมอาจจะหมดทำให้ระบบเบรกใช้การไม่ได้เต็มที่ และระยะทางลงเขาถึงจุดเกิดเหตุ 6 กม. ถ้าคนขับไม่มีความชำนาญและไม่ได้ใช้เกียร์ต่ำแล้วใช้เบรกอย่างเดียวมันทำให้ลมหมดทำให้สภาพเบรกแข็งตัวทำงานไม่ได้เต็มที่” พล.ต.ท.ดำรงค์ กล่าว
พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของเจ้าของรถนั้นจากการสอบถามทางขนส่งแล้วตามกฎหมายต้องตรวจสภาพปีละ 2 ครั้ง แต่คันนี้ผ่านไปกว่าปีเศษแล้วยังไม่ได้ไปตรวจซ้ำ ฉะนั้นเรื่องตรวจสอบสภาพรถถือว่าไม่เป็นไปตามข้อบังคับของขนส่ง รวมทั้งเรื่องของการปล่อยให้มีการเสพยาบ้าแล้วมาขับรถมันมีกฎหมายขนส่งระบุไว้ชัดเจนว่า การยินยอมหรือให้มีการเสพยาบ้าแล้วขับรถหรือการที่ไม่ดูแลให้ดีมันจะเป็นความผิด อันนี้เราจต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำไปสู่การแจ้งข้อหากับผู้ประกอบการด้วยใน2ข้อหานี้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนคนขับจะสำนึกผิดจะขอโทษหรือไปขอขมาผู้เสียชีวิตนั้นตอนนี้คนขับยังอยู่โรงพยาบาลยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียดขนาดนั้น
ส่วนจุดเกิดเหตุหลังจากนี้จะติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ให้ผู้ขับขี่รถทุกชนิดใช้เกียรติต่ำ และจะมีการติดตั้งป้ายเตือนให้เห็นชัดเจนมากขึ้น และมอบหมายให้ตำรวจทางหลวงและตำรวจท้องที่จับความเร็วบริเวณจุดเสี่ยงให้มากและถี่ขึ้น เพราะความเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดอุบัติเหตุได้ดี และการติดตั้งไฟกระพริบเตือนก่อนรถจะเข้าทางโค้ง โดยเฉพาะโค้งอันตราย การติดตั้งแสงสว่างเพิ่มเติม และทางกรมทางหลวงจะมีการต่อแท่งแบริเอ่อร์ให้สูงขึ้นทุกจุด
นายจรูญ จงไกรจักร นักวิชาการชำนาญการพิเศษขนส่ง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายนี้ ชื่อนางทัน เลิศสหพันธ์ มีรถให้บริการ 3 คัน และคันที่ประสบเหตุขนส่งได้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้(22 มี.ค.) ส่วนอีก 2 คันที่เหลือนายทะเบียนขนส่ง จ.กาฬสินธุ์สั่งให้นำรถไปตรวจสภาพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้เรียกผู้ประกอบการไปพบแล้ว มีเพียงคันนี้คันเดียวที่ไม่ไปตรวจสภาพตามวงรอบที่จะเป็น
ส่วนผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จำนวน 8 ราย ในจำนวนนี้มีเด็ก 2 รายอาการยังสาหัสต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ พยาบาลอย่างใกล้ชิด โดยมีผู้ปกครองคอยดูแลอยู่ข้างเตียงลูกตลอดเวลา ในจำนวนนี้มี 2 คนที่พอพูดคุยได้ คือนางรัตนาภรณ์ ทุมเกสร และ นายธนากร สิงห์โห อายุ 56 ปี นอนรักษาอาการบาดเจ็บ เล่านาทีชีวิตให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุรถคันนั้นวิ่งส่ายไปส่ายมาตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงลงเขาชันและมีทางโค้ง ตนอยู่ชั้น 2 ของรถบัสคันดังกล่าว จึงได้ลงไปทักทวงคนขับรถ ซึ่งเขาบอกว่าคันเร่งมันค้าง ตนบอกปลดคันเร่งแล้วเปิดไฟกระพริบและใส่เกียร์ 1 ให้รถชะลอความเร็วลง จากนั้นคนขับรถก็โยกคันเกียร์ให้ตนดูแล้วบอกว่า ใส่เกียร์ไม่เข้า ตนแหงนมองทะลุกระจกหน้ารถไปข้างหน้า จากนั้นตนก็วิ่งขึ้นไปชั้น 2 ไปหาแฟนตนเองแล้วจับแฟนดึงตัวแล้วกอดแฟนไว้แน่นลงนอนกับพื้นชั้น 2 แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ขณะเกิดเหตุตนรู้สึกกลัวมาก แต่สติยังดีอยู่ ก่อนยกมือไหว้ขอบคุณที่รอดนาทีได้หวุดหวิด พร้อมกับกล่าวตามว่า จากนี้ไปตนจะไม่ขอนั่งรถบัส รถทัวร์ 2 ชั้นไปตลอดชีวิตเลย