4 May 2024


“นายกฯหนองไผ่ล้อม”โคราชออกโรงโต้ ลั่นยึดธรรมาภิบาล-ไม่เคยข่มขู่ทำร้าย ขรก.

Post on: Aug 3, 2015
เปิดอ่าน: 691 ครั้ง

01

“นายกฯหนองไผ่ล้อม” โคราช ออกโรงโต้ ลั่นยึดหลักธรรมาภิบาล ไม่เคยข่มขู่ทำร้ายร่างกาย ขรก.ลูกน้อง ยันให้ความเป็นธรรมบนความถูกต้อง ระบุการบริหารงานยึดระเบียบข้อปฏิบัติเคร่งครัด พร้อมเดินหน้าทำงานบนความขัดแย้งเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตปชช. ส่วนใครหมิ่นประมาณใส่ร้ายทำเสียชื่อเสียงส่งทนายแจ้งดำเนินคดีเพื่อให้ความจริงปรากฏ

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2558 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่สมาชิกสภาเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้เปิดอภิปรายถึงการบริหารงานที่ขาดหลักธรรมาภิบาลของนายกเทศมนตรีตำบลหนองไผ่ล้อมกรณีการบริหารงานบุคคล และการดำเนินงานให้บริการสาธารณะไม่เป็นไปตามหลักธรรมาธิบาล ในการประชุมสภาเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมสมัยวิสามัญ สมัยที่ 1 ครั้งที่ 1 ประจำปี 2558 เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด นายไพบูลย์ พฤกษ์พนาเวศ นายกเทศมนตรีตำบลหนองไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า กรณีที่สมาชิกสภาเทศบาลฯ บางคนได้หยิบยกเอาหนังสือร้องเรียนของ นางลักษณา ประสีระเตสัง ผู้อำนวยการกองคลังเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมขึ้นมากล่าวอ้างนั้น ในวันประชุมตนได้แจ้งให้ทราบแล้วว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว การนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดในที่ประชุมหากพาดพิงถึงใครก็ขอให้คนพูดรับผิดชอบ

02

ส่วนการที่ระบุว่าตนไปพูดข่มขู่ลูกสาวของ นางลักษณา คือ นางพงษณา พรหมดีสาร เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี สังกัดกองคลังเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อม นั้น สืบเนื่องมาจากกรณีที่ทางจังหวัดนครราชสีมาได้เข้ามาตรวจพบว่าการบริหารจัดการของกองคลังมีการเบิกค่าใช้จ่ายเป็นค่าเช่าบ้านผิดระเบียบ คือ ไปเบิกค่าเช่าบ้านย้อนหลัง ซึ่งค่าเช่าบ้านดังกล่าวเป็นสวัสดิการที่ตามระเบียบสามารถเบิกได้ แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ซึ่งกรณีที่เกิดปัญหาคือทางจังหวัดมาตรวจสอบและแจ้งว่ามีการเบิกค่าเช่าบ้านย้อนหลักทำไม่ได้ เพราะผิดระเบียบ ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาและดูแลเทศบาล จึงเรียกมาสอบถามข้อเท็จจริงว่าทำผิดระเบียบหรือไม่

ทั้งนี้เมื่อเรียกเอกสารมาดูพบว่า ตนในฐานะนายกเทศมนตรียังไม่ได้เซ็นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสภาพบ้านเลย และสัญญาก็ยังไม่เห็น แต่ปรากฏว่ามีสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาย้อนหลัง ตนได้ถามไปอีกว่าเมื่อยังไม่แต่งตั้งกรรมการเลยแล้วใครไปตรวจสอบสภาพบ้านให้ ขอให้เรียกกรรมการมาดูซึ่งเขาบอกว่ามี 3 คน เมื่อสอบถามกรรมการทั้งหมดต่างลงความเห็นตรงกันว่าผิดจริง โดยอ้างว่าเขาให้ลงลายมือชื่อก็ลงไปโดยไม่รู้ ซึ่งตนได้ให้ลงบันทึกถ้อยคำไว้เป็นที่เรียบร้อย

ดังนั้นเมื่อทำผิดก็เรียกมาหารือกันทุกคนและให้กลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง แต่เมื่อกลับออกไปก็ไม่พอใจ ไปโพสต์เฟซบุ๊กด่าตน แล้วส่งให้คนโน้นคนนี้กระจายไปเรื่อย รุ่งเช้ามาตนจึงเรียกมาสอบถามว่าไม่พอใจอะไร ซึ่งไม่ได้มีการเตรียมการกับใครและไม่ได้วางแผนที่จะทำร้ายร่างกายตามที่กล่าวอ้าง เพียงแต่เดินสวนทางกันที่บันไดก็เรียกเข้ามาคุยที่ห้องทำงาน และมาสอบถามว่า การที่โพสต์ข้อความลักษณะด่าตนนั้นแปลว่าอะไร

03

“ ยืนยันว่าวันนั้นตนเรียกมาอธิบายดี ๆ เรียกมาทำความเข้าใจดี ๆ ซึ่งในห้องนั้นมีหัวหน้าของ นางพงษณา อยู่ในเหตุการณ์ตลอด ทุกคนก็รับทราบด้วยดี แต่สุดท้ายกลับมาบอกว่าผมข่มขู่ และจะทำร้ายร่างกายลูกสาวตัวเองทั้งที่ความจริงคือ การเชิญมาสอบถามโดยดี”นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของ นางปรียาภรณ์ ทิพย์โสภณ ลูกจ้างทั่วไป กองคลัง ที่ระบุว่าตนทำเอกสารอันเป็นเท็จกลั่นแกล้งจนเกิดการฟ้องร้องกันนั้นไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยกลั่นแกล้งใคร กรณีของ นางปรีญาภรณ์ นั้นตนได้รับการร้องเรียนจาก นางบุญเกื้อ ว่า นางปรียาภรณ์ ไปหลอกลวงว่า รู้จักกับผู้ใหญ่สามารถฝากให้เข้าทำงานที่เทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมได้ แต่ต้องจ่ายเงิน 200,000 บาท ซึ่ง นางบุญเกื้อ หลงเชื่อจ่ายเงินดังกล่าวให้แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้เข้ามาทำงานเลย

ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงเรียกมาสอบถาม ซึ่ง นางปรียาภรณ์ ยอมรับว่า ได้หลอกลวงประชาชนจริง ซึ่งได้ให้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานด้วย มีเอกสารยืนยันชัดเจน ตนไม่มีพฤติกรรมไปข่มขู่ให้นางปรียาภรณ์ มารับสารภาพแต่อย่างใด มีพยานยืนยันชัดเจน ส่วนเรื่องที่ฟ้องร้องศาลนั้น เป็นคนละเรื่อง โดยเป็นกรณีการประเมินว่า นางปรียาภรณ์ ไม่ผ่านการประเมิน ตนจึงให้ออกจากลูกจ้าง แต่ นางปรียาภรณ์ ไปร้องจังหวัดให้มีการพิจารณาใหม่ ตนจึงให้กลับเข้ามาทำงานตามเดิม นางปรียาภรณ์ จึงนำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องร้องศาล ซึ่งศาลชั้นตนยกฟ้องไปแล้ว เรื่องก็จบ ส่วนจะไปอุทธรณ์ต่อหรือไม่เรื่องนี้ขอให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน
นายไพบูลย์ กล่าวถึงกรณี นายวุฒิคุณ คำควร เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน ที่อ้างว่าตนจะทำร้ายร่างกาย โดยกระชากคอเสื้อจะตบหน้าและพูดจาข่มขู่ กล่าวหาว่าดื่มสุราในเวลาราชการ โดยไม่สอบถามใด ๆ นั้น เหตุการณ์วันนั้น มีการประชาคมอยู่ที่กองทัพภาคที่ 2 นายวุฒิคุณ ก็ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาสภาพเมาแอ๋มางาน ตนสอบถามว่า มาทำงานในสภาพแบบนี้ได้อย่างไร จะดูแลประชาชนได้หรือ หากทำงานไม่ได้ให้กลับไปบ้านเลย อย่ามาให้ชาวบ้านเห็นสภาพแบบนี้ นายวุฒิคุณ ก็กลับบ้านไป ซึ่งตนไม่ได้มีพฤติกรมที่จะไปกระชากคอเสื้อหรือทำร้ายร่างกายเลย ในวันดังกล่าวก็มีประชาชนมีหัวหน้าส่วนราชการจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์

ทั้งนี้ตนไม่ใช่คนมีพฤติกรรมก้าวร้าว แต่ได้ต่อว่าจริงเนื่องจากทำตัวไม่เหมาะสมเพราะคนภายนอกที่มองเข้ามาเขาก็จะว่านายกเทศมนตรี ไม่ดูแลลูกน้อง และนายวุฒิคุณ ก็ได้ถอนแจ้งความไปแล้ว ตอนนี้นอนป่วยอยู่ที่ห้องไอซียูจากพิษสุราเรื้อรัง แต่กลับเอามาเป็นประเด็นก็ต้องชี้แจงกัน

04

อย่างไรก็ตามแม้จะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นแต่ทุกคนที่กล่าวมานั้นยังคงทำงานอยู่ที่เทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมเหมือนเดิม ตนไม่ได้ให้ย้ายไปไหน ส่วนที่เป็นคดีความกันก็สู้กันต่อไปเพื่อให้ความจริงปรากฏ และการที่หยิบยกเอาเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดหรือใครกล่าวหาตนก็จะให้ทนายความไปดูว่าใครให้ร้ายหรือหมิ่นประมาท และจะดำเนินการแจ้งความเอาผิดต่อไป โดยเฉพาะผู้อำนวยการกองคลังที่ใส่ร้ายตนทำให้เสียหายต่อตำแหน่งชื่อเสียง ได้ให้ทนายความเตรียมดำเนินคดีทั้งหมดแล้ว

“ วันนี้จึงอยากขอความเป็นธรรมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตนไม่ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหาให้ร้าย และตนมีหลักฐานยืนยันชัดเจน และอยากถามว่าตนขาดธรรมาภิบาลตรงไหน พยายามเอาอะไรมาเชื่อมโยงกันให้กลายเป็นเรื่องราว ยืนยันการบริหารงานรวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบข้อปฏิบัติ ฉะนั้นจึงอยากขอความเป็นธรรมว่า บางครั้งข้อมูลข่าวที่ได้รับต้องทำความเข้าในใจรายละเอียดและต้องรับฟังทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่ง การบริหารงานจากนี้ไป ต้องใช้หลักการบริหารบนความขัดแย้งให้เทศบาลเดินหน้าต่อไป และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น” นายไพบูลย์ กล่าว